ลัลลาน่าเปิดบทสนทนากับคล็อปป์ก่อนลาลิเวอร์พูล

ขอบคุณบอส! อดัม ลัลลาน่า เปิดบทสนทนากับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ตอนก่อนอำลา ลิเวอร์พูล มาเล่นให้ ไบรท์ตัน เผยเจ้านายเป็นคนตรงไปตรงมา และอยากให้ตัวเองได้ลงเล่นเป็นประจำ

อดัม ลัลลาน่า กองกลาง ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน เปิดเผยว่า ตัวเองได้พูดคุยกับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล ถึงเรื่องการอำลาถิ่น แอนฟิลด์ ตั้งแต่เดือนตุลาคม ปีที่แล้ว ก่อนที่จะได้ย้ายมาอยู่กับ "เจ้านกนางนวล" ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา

ลัลลาน่า วัย 32 ปี ที่เล่นให้ "หงส์แดง" มา 6 ปี เผยผ่าน บีบีซี เรดิโอ ไฟฟ์ ไลฟ์ ว่า "ผมจะบอกข้อมูลเชิงลึกให้คุณฟังบ้างว่า ผมได้คุยกับ เจอร์เก้น เมื่อเดือนตุลาคม ปีที่แล้ว เรานั่งคุยกันอย่างเปิดอก พวกเรามีความสัมพันธ์ที่ดี และผมก็แค่พูดว่า "ผมจะเป็นอย่างไรในปีหน้า? "

"ผมรู้ว่า ตัวเองกำลังจะหมดสัญญา และรู้ว่า ไม่ได้ลงสนามเป็นประจำ แม้ผมยังมีส่วนสำคัญในทีม แต่ผมต้องการความตรงไปตรงมา ขณะที่เขาก็บอกผมตรงๆ ว่า "ให้เอเยนต์ของนายเริ่มมองหาทีมใหม่ได้เลยนะ" นั่นไม่ได้หมายความว่า คุณไม่ได้อยู่ในแผนการทำทีม หรือเขาจะไม่ใช้งานผม"

"จากนั้นอีก 4 วันต่อมาเขาก็ดึงผมติดทีมไปเล่นที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด และผมก็ทำประตูตีเสมอ ผมคิดว่า มันแสดงให้เห็นว่า เจอร์เก้น เป็นคนอย่างไร เขาเป็นคนซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา เขาบอกผมว่า ผมสมควรได้ลงเล่นมากกว่านี้ และสมควรมีเวลาในสนามมากขึ้น"

"เขาไม่สามารถให้สิ่งนั้นกับผมได้ จากนั้นผมก็ได้รับคำอวยพรจากเขาและสโมสรในการให้เอเยนต์ของผมไปพูดคุยเพื่อหาทีมใหม่สำหรับฤดูกาลหน้าซึ่งมันก็คือซีซั่นนี้นี่เอง" ลัลลาน่า ทิ้งท้าย

ตัวจริงแมนยูดีไหม?6สถิติยอดเยี่ยมไบยี่เกมทุบไบรท์ตัน

เปิดสถิติที่ยอดเยี่ยมของ เอริก ไบยี่ หลังได้ลงเป็นตัวจริงให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ในถ้วย คาราบาว คัพ สองนัดติด และเก็บคลีนชีตได้ทั้งสองเกม

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทะลุเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศ คาราบาว คัพ ได้แบบไม่ยากลำบาก หลังบุกไปเอาชนะ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน 3-0 ในเกมรอบสี่ เมื่อวันพุธที่ 30 กันยายน ที่ผ่านมา โดยหนึ่งในนักเตะที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นคือ เอริก ไบยี่ ปราการหลังชาวไอวอรี่โคสต์

ไบยี่ คุมเกมรับได้อย่างยอดเยี่ยมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการแท็กเกิ้ล, แย่งบอล รวมถึงการบล็อกลูกยิง ถือเป็นฟอร์มที่คู่ควรกับการได้สตาร์ตตัวจริงคู่กับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ในเกมลีก มากกว่า วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ที่ช่วงหลังผลงานตกลงไป

และนี่คือ 6 สถิติที่ ไบยี่ แสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมหลังจบเกมชนะ ไบรท์ตัน

– ไบยี่ เข้าแท็กเกิ้ลได้สำเร็จ 100 เปอร์เซ็นต์จากทั้ง 2 นัดล่าสุดที่ได้ลงเป็นตัวจริง

– จากการลงสนามตัวจริง 2 นัดล่าสุดในถ้วย คาราบาว คัพ ไบยี่ ช่วยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด เก็บคลีนชีตทั้ง 2 นัด (ชนะ ลูตัน 3-0, ชนะ ไบรท์ตัน 3-0)

– ในทีม "ปีศาจแดง" มีแค่ เฟร็ด คนเดียวที่ตัดบอลสำเร็จมากกว่า ไบยี่ (2)

– ไม่มีนักเตะในสนาม เอแม็กซ์ สเตเดี้ยม คนไหนที่เคลียร์บอลได้มากกว่า ไบยี่ (3) อีกแล้ว

– ไบยี่ เป็น 1 ใน 3 นักเตะที่บล็อกลูกยิงได้ร่วมกับ ดิโอโก้ ดาโลต์ และ เบน ไวท์

– นักเตะ แมนฯ ยูไนเต็ด มีแค่ ฆวน มาต้า, ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค และ ปอล ป็อกบา (เล่น 22 นาที) ที่ผ่านบอลเข้าเป้าแม่นยำมากกว่า ไบยี่ (90.7%)

 

ร้าวไหม !? เอเย่นต์ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค เดือดใส่ แมนยู

      ซยาค ซวาร์ต เอเย่นต์ของ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค กองกลางของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกมาแสดงความไม่พอใจที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ให้นักเตะในความดูแลของเขาเป็นแค่ตัวสำรองในเกมกับ ไบรท์ตัน แถมยังส่งลงสนามช้าอีกด้วย จากรายงานของ thesun.co.uk เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563

        ศึก พรีเมียร์ลีก ที่ แมนยู บุกเฉือนชนะ ไบรท์ตัน ด้วยผลบอล 3-2 โดยที่เจ้าถิ่นมีโอกาสมากกว่า แต่ดันยิงไป แม่นเสา แม่นคาน เป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ ปีศาจแดง พกดวงมาเต็มเปี่ยมคว้า 3 คะแนนแรกในฤดูกาลนี้ไปได้สำเร็จ

  Learn more
        ซึ่งเกมนี้ ฟาน เดอ เบ็ค แข้งใหม่ของ แมนยู ยังคงเป็นตัวสำรอง หลังจากแมตช์แรกกับ คริสตัล พาเลซ เขาได้ลงในนาทีที่ 67 แต่ก็สามารถทำประตูได้ด้วย ทว่านัดนี้ ดาวเตะทีมชาติออลด์แลนด์ ถูกส่งลงสนามในช่วงทดเวลาบาดเจ็บก่อนหมดเวลา

        งานนี้ทำให้ ซยาค ซวาร์ต เอเย่นต์ของ เดอ เบค ออกอาการไม่พอใจ และได้ออกมาต่อว่า แมนยู ว่า "เป็นตัวสำรอง ผมไม่ชอบเลย เป็นผมรับไม่ได้หรอก ให้ลงสนามโดยเหลือเวลาเล่นอีก 4 นาทีเนี่ยนะ ถ้าอย่างนั้นคุณควรปล่อยให้ผมนั่งอยู่ข้างสนามยังดีกว่า"

        "ผมต้องบอกว่าเขาทำได้ดีถึง 3 ข้อ และจุดโทษที่เป็นประตูชัยมันก็มาจากเขา จริง ๆ พวกเขาควรจะแพ้สัก 1-7 ด้วยซ้ำ ไบรท์ตัน ยิงไปชนเสาชนคาน 5 ครั้ง พวกเขามีทีมที่ดี แต่เรื่องแบบนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด"

อาร์เซน่อลบุกทุบเลสเตอร์ ลิ่วบาวคัพรอบ4โอกาสชน “หงส์แดง” มีสูง

"ปืนใหญ่" ขนสำรองลงสนามเกือบยกชุดก่อนจะเบียดเอาชนะเจ้าบ้าน เลสเตอร์ ซิตี้ ที่จัดแข้งสำรองเช่นกัน 2-0 จากการทำเข้าประตูตัวเองของ คริสเตียน ฟุคส์ ก่อนที่ เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ จะยิงนาทีสุดท้ายให้ อาร์เซน่อล ผ่านเข้าไปเล่นในรอบ 16 ทีมสุดท้าย รอพบผู้ชนะระหว่าง ลินคอล์น ซิตี้ หรือ ลิเวอร์พูล ในศึกคาราบาว คัพ รอบ 3 เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา

สนาม : คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม

    "บิ๊กแมตช์" คาราบาว คัพ รอบ 3 เมื่อคืนวันพุธที่ 23 กันยายน ที่ผ่านมา เป็นการพบกันระหว่าง เลสเตอร์ ซิตี้ เปิดคิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม รับมือ อาร์เซน่อล ซึ่งทั้งสองทีมต่างโชว์ฟอร์มเยี่ยมเก็บชัยชนะ 2 เกมในลีกมาด้วยกันทั้งคู่

    เกมนี้  เบรนแดน ร็อดเจอร์ส แข้งสำรองเป็นหลักวาง เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ หน้าเป้าและให้ เจมส์ แมดดิสัน, คีร์นาน ดิวส์บิวรี่-ฮอลล์, เดมาไร เกรย์ และมาร์ค อัลไบรท์ตัน ปั้นเกมสนับสนุน ส่วนทางฝั่ง มิเกล อาร์เตต้า นายใหญ่ของอาร์เซน่อลโรเตชั่นส่งแข้งสำรองลงสนามเช่นกัน 3 ประสานแนวรุกวาง นิโกล่าส์ เปเป้,  เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ และ รีสส์ เนลสัน

    ออกสตาร์ทครึ่งแรกมาแค่ 3 นาที "ปืนใหญ่" ทีมเยือนได้ทักทายก่อนเลยหลัง รีสส์ เนลสัน ตัดบอลได้ทางซ้ายก่อนเลี้ยงตัดเข้าหน้ากรอบตะบันด้วยขวาบอลพุ่งจะฮุคใต้คานแต่ไปติดปลายนิ้วของ แดนนี่ วอร์ด

    นาทีที่ 6 ถัดมา มาร์ค อัลไบรท์ตัน เปิดบอลไปให้ เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ อัดด้วยซ้ายแต่บอลยังไม่ผ่านมือ แบร์นด์ เลโน่

    จังหวะเข้าทำของ "ปืนใหญ่" ดูดีกว่า นาที 17 ได้ลุ้นจากจังหวะที่ เปเป้ หลุดไปในกรอบทางขวาก่อนซัดไปติดบล็อค คริสเตียน ฟุคส์ และจากลูกเตะมุมถัดมา เซอัด โคลาซินัช ได้ซัดนอกกรอบเต็มแรงแต่บอลพุ่งหลุดกรอบออกไป

    อีก 2 นาทีถัดมา อาร์เซน่อล ได้เสียวอีกเมื่อ บูคาโย่ ซาก้า พาบอลถึงเส้นหลังแล้วปาดเลียดไปหน้ากรอบไม่ถึง 6 หลา แต่แข้งไอ้ปืนใหญ่ รวมทั้ง เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ ต่างเข้าชาร์ตไม่ถึงบอลผ่านหน้าประตูไปอย่างน่าเสียดาย

    นาที 29 ทีมเยือนพลาดโอกาสชิงขึ้นนำอย่างน่าเสียดาย หลัง รีสส์ เนลสัน เลี้ยงจี้เข้าไปหน้ากรอบแล้วปั่นด้วยขวาไปทางเสาไกล แต่บอลยังไปติดเซฟของ แดนนี่ วอร์ด ที่พุ่งปัดหวุดหวิด

    อีกครั้ง รีสส์ เนลสัน มีโอกาสหลัง โมฮาเหม็ด เอลเนนี่ จ่ายให้ซัดไม่ถึง 12 หลาหน้าประตูแต่แข้งวัย 20 ปีดันยิงด้วยขวาออกข้างไปอย่างน่าผิดหวัง

    นาที 39 ทัพ "จิ้งจอกสยาม" พลาดโอกาสทองที่จะชิงขึ้นนำอย่างน่าเสียดาย หลัง เจมส์ แมดดิสัน โชว์สกิลแตะหลบแข้งอาร์เซน่อลก่อนปั่นโค้งๆนอกกรอบ แต่บอลพุ่งไปชนเสาก่อนจะมาเข้ามือ แบร์นด์ เลโน่

    จบครึ่งแรก เลสเตอร์ ซิตี้ ยังเสมอกับ อาร์เซน่อล แบบไร้สกอร์ 0-0

    กลับมาเล่นต่อในครึ่งหลัง นาที 47 เดมาไร เกรย์ จ่ายให้ต่อให้ เจมส์ แมดดิสัน ซัดด้วยขวานอกกรอบเหินหนีคานออกไปไกล

    นาที 57 กลายเป็น อาร์เซน่อล ที่บุกมาขึ้นนำ 1-0 จนได้ นิโกล่าส์ เปเป้ กระชากหนีแนวรับจิ้งจอกก่อนจะปาดไปติดมือ แดนนี่ วอร์ด บอลมาเข้าทาง เปเป้ ที่พยายามซ้ำแต่บอลพุ่งไปชนเสาก่อนกระดอนไปโดน คริสเตียน ฟุคส์ ปลิ้นเข้าประตูตัวเอง

    เจ้าบ้านโอกาสเข้าไปส่องแบบจะๆ แทบจะไม่มีเท่าไหร่ นาที 75 เจ้าหนู ลุค โธมัส จ่ายต่อให้ เดมาไร เกรย์ กดด้วยขวานอกกรอบแต่บอลพุ่งไปเข้ามือ แบร์นด์ เลโน่

    นาที 81 เลสเตอร์ ปล่อยโอกาสไล่ตีเสมอหลุดไปอย่างน่าเสียดายหลังได้ลุ้นจากฟรีคิกนอกกรอบ ก่อนที่ มาร์ค อัลไบรท์ตัน จะเปิดมาเสาแรกให้ อโยเซ่ เปเรซ โฉบมาโหม่งถากเสาออกไป

    นาทีสุดท้าย ลูกทีมของ อาร์เตต้า มาได้ประตูที่สองจากจังหวะที่ เบเยริน จ่ายเลียดเข้ากลางให้ เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ ยิงไปติดบล็อคแข้งเจ้าถิ่นก่อนตามซ้ำเข้าไปตุงตาข่าย

    จบเกม เลสเตอร์ ซิตี้ พ่ายคาบ้านให้ อาร์เซน่อล 0-2 ส่งผลให้ "ปืนใหญ่" ผ่านเข้าไปเล่นในรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยจะรอพบผู้ชนะระหว่าง ลินคอล์น ซิตี้ ทีมจากลีกวัน หรือลิเวอร์พูล ในช่วงสิ้นเดือนนี้

    รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

        เลสเตอร์ (4-1-4-1) : แดนนี่ วอร์ด – แดเนี่ยล อมาร์ตี่ย์, เวส มอร์แกน, คริสเตียน ฟุคส์, ลุค โธมัส – ฮัมซ่า เชาด์รี่ – มาร์ค อัลไบรท์ตัน, เจมส์ แมดดิสัน (เดนิน ปราต น.72), คีร์นาน ดิวส์บิวรี่-ฮอลล์ (อโยเซ่ เปเรซ น.76), เดมาไร เกรย์ – เคเลชี่ อิเฮียนาโช่

        อาร์เซน่อล (3-4-3) : แบร์นด์ เลโน่ – ร็อบ โฮลดิ้ง, ดาวิด ลุยซ์, เซอัด โคลาซินัช – เอนส์ลี่ย์ เมตแลนด์-ไนล์ส, โมฮาเหม็ด เอลเนนี่,  โจ วิลล็อค (ดานี่ เซบายอส น.78) , บูคาโย่ ซาก้า (เอคตอร์ เบเยริน น.87) – นิโกล่าส์ เปเป้, เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์, รีสส์ เนลสัน (วิลเลี่ยน น.72)

        ผู้ตัดสิน : ปีเตอร์ แบงค์ส

โซลชาเผยว๊ากใส่1ลูกทีมเกมเฉือนไบรท์ตันฯ

โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือ แมนฯ ยูไนเต็ด ระบุ ในเกมที่เฉือน ไบรท์ตัน 3-2 นั้น ตนดุใส่ มาร์คัส แรชฟอร์ด ไปนิดหน่อย พร้อมชม แรชฟอร์ด ว่าทำผลงานโดยรวมได้น่าพอใจ

โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดเผยว่าตนด่า มาร์คัส แรชฟอร์ด กองหน้าคนดังของทีมไปนิดหน่อยระหว่างเกม พรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดที่ "ปีศาจแดง" บุกไปชนะ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน 3-2 ถึงสนาม เอแม็กซ์ สเตเดี้ยม ในเกม พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันเสาร์ที่ 26 กันยายน ที่ผ่านมา

ในนัดดังกล่าว แรชฟอร์ด เป็นคนทำประตูที่ 2 ให้กับทีมในนาทีที่ 55 ส่งผลให้ตอนนี้เขาทำประตูได้ 2 นัดติดต่อกัน หลังจากก่อนหน้านี้เพิ่งทำได้ 1 ลูกในเกม คาราบาว คัพ รอบ 3 นัดที่ชนะ ลูตัน ทาวน์ 3-0 เมื่อวันที่ 22 กันยายน ที่ผ่านมา โดยที่จริงเกมนี้เขามีจังหวะส่งบอลเข้าไปนอนในก้นตาข่ายมากกว่า 1 หน แต่มันก็ถูกจับเป็นจังหวะล้ำหน้า

โซลชา เผยว่า "เขากำลังทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ที่จริงผมตวาดใส่เขาไปนิดหน่อยพอผ่านครึ่งหนึ่งของช่วงครึ่งแรกไปแล้ว หลังจากที่เขากลัวจนเลี่ยงการโดนสกัดใส่ แต่ผมคิดว่าปฏิกิริยาของเขากับความเฉียบคมของเขามันดีขึ้นเรื่อยๆ เขามีความรวดเร็วในการเล่นมากขึ้น คุณจะเห็นเลยว่าเขาเริ่มมีความมั่นใจในการเล่น"

"เขาทำประตูที่ยอดเยี่ยมได้และจบสกอร์ได้ดีในประตูที่โดนจับว่าเป็นจังหวะล้ำหน้า ผมคิดว่า มาร์คัส จะทำผลงานได้ดีในฤดูกาลนี้ ผมพอใจมากๆ กับการที่ มาร์คัส ทำประตูนั้นได้ ส่วนจังหวะที่เขาล้ำหน้าตอนเล่นเกมสวนกลับเร็วน่ะเขาก็ล้ำหน้าแค่นิดเดียวเท่านั้นหลังจากที่ เมสัน (กรีนวู้ด) เปิดบอลได้สวย"

มาต้ายังแจ๋ว,ไบยี่สุดแกร่ง! ตัดเกรดแข้งแมนยูหลังบุกยำไบรท์ตัน

"ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทะลุเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศศึก คาราบาว คัพ ได้แบบไม่ยากลำบาก หลังบุกไปเอาชนะ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน 3-0 ในเกมรอบสี่ เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งนัดนี้ ฆวน มาต้า โดดเด่นมากๆ ในเกมรุก ส่วนเกมรับไม่มีใครแจ่มเกิน เอริค ไบยี่ และนี่คือผลสอบของแข้ง แมนฯ ยูไนเต็ด แต่ละคนในแมตช์นี้ ณ สังเวียนแข้ง เอเม็กซ์ สตเดี้ยม


    11 ผู้เล่นตัวจริง

– ดีน เฮนเดอร์สัน : 7

 แม้ไม่ใช่เกมที่เจองานหนัก แต่ถือเป็นอีกนัดที่ เฮนเดอร์สัน ทำผลงานได้น่าประทับใจ โดยเฉพาะจังหวะโชว์ซูเปอร์เซฟลูกยิงของ เลอันโดร ทรอสซาร์ ช่วงครึ่งหลัง ซึ่งถือว่าเข้าตาสุดๆ

– ดิโอโก้ ดาโลต์ : 6.5

        มีฟอร์มที่โอเคเลยทีเดียว ช่วยเกมรับได้ดี ทำให้ มาต้า เล่นทางฝั่งขวาได้สบายใจ แม้เกมรุกแทบไม่ได้ช่วยอะไรก็ตาม

– เอริค ไบยี่ : 8

        คุมเกมรับได้แข็งแกร่งมากๆ ทำได้ดีทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการแท็กเกิ้ล, แย่งบอล รวมถึงการบล็อกลูกยิง ถือเป็นฟอร์มที่คู่ควรกับการได้สตาร์ทตัวจริงคู่กับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ในเกมลีก

– วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ : 6

        ไม่ใช่เกมที่ยาก แต่ก็ยังมีข้อผิดพลาดให้เห็น โดยเฉพาะยามที่ทีมได้ครองบอล แถมมาโดนใบเหลืองช่วงท้ายเกมด้วย 

– แบรนดอน วิลเลี่ยมส์ : 7

        โดยรวมถือว่าน่าประทับใจ โดยเฉพาะการช่วยเติมเกมรุกที่มีการผ่านบอลสวยๆ ให้เห็น

สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ : 7.5

        แจ่มสุดในแดนกลาง นอกจากมีการแท็กเกิ้ลที่ยอดเยี่ยมแล้ว ยังเป็นคนทำประตูขึ้นนำ 1-0 ในช่วงท้ายครึ่งแรก ทำให้ทีมคลายความกดดันลงไปพอสมควร

– เฟร็ด : 6

        อาจช่วยแย่งบอลได้ดี แต่น่าผิดหวังในเรื่องการจ่ายบอล ซึ่งทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร

– ฆวน มาต้า : 8

        แม้อายุ 32 ปีแล้ว แต่เกมนี้ มาต้า แสดงให้เห็นว่า เขายังคงมีดี โดยเฉพาะเรื่องชั้นเชิงและความฉลาดในการเล่น โดยเปิดลูกฟรีคิกสุดแม่นยำให้ แม็คโทมิเนย์ โหม่งทำประตู 1-0 ก่อนทะลุเข้าไปยิงในลูก 2-0 ช่วงครึ่งหลัง

– ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค : 7

        อาจไม่ได้โดดเด่นมาก จนกระทั่งมาโชว์แอสซิสต์แบบเหนือชั้นให้ มาต้า หลุดเข้าไปยิงประตู 2-0 ซึ่งถือเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความอันตรายของดาวเตะชาวดัตช์คนนี้ได้เป็นอย่างดี

– แดเนี่ยล เจมส์ : 5

        แม้ทีมได้ชัยชนะสวยหรู แต่ฟอร์มของปีกชาวเวลส์ยังคงน่าผิดหวัง ทั้งที่เกมนี้ได้เล่นฝั่งซ้ายตามถนัด

– โอเดียน อิกาโล่ : 5

        ช่วงครึ่งแรกมีโอกาสได้ส่องเน้นๆ แต่ดันยิงเข้าหน้าต่าง แถมช่วยทีมไม่มากเท่าที่ควร โดยรวมถือเป็นอีกเกมที่เจ้าตัวเล่นได้น่าผิดหวัง

    สำรองที่ได้ลงเล่น

 มาร์คัส แรชฟอร์ด (แทน อิกาโล่ น. 69) : 6.5

        ช่วยยกระดับให้เกมรุกทางฝั่งซ้ายดูอันตรายขึ้น

– ปอล ป็อกบา (แทน เจมส์ น. 69) : 7

        ลงไปก็มีส่วนร่วมกับเกมทันที ทำให้แดนกลางดูดีขึ้นทันตาเห็น และสุดท้ายก็มายิงฟรีคิกเป็นประตูปิดเกม 3-0

– เจสซี่ ลินการ์ด (แทน เฟร็ด น. 81) : – 

        ไม่สามารถให้คะแนนได้

สื่อชี้แวร์เนอร์VSฟานไดค์ความเร็วตัดสินชัย

สื่อผู้ดี ระบุเกมระหว่าง เชลซี พบ ลิเวอร์พูล อาจจะวัดผลแพ้ชนะกันที่ความเร็วของ ติโม แวร์เนอร์ กับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ เพราะงานนี้ สตาร์ทีมชาติเยอรมัน ต้องปะทะกับกองหลังที่ตัวใหญ่และเต็มไปด้วยความไว

เดอะ ซัน สื่อดังในเมืองผู้ดี ระบุเกมบิ๊กแมตช์ระหว่าง เชลซี พบ ลิเวอร์พูล ที่สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายนนี้ ความเร็วของ ติโม แวร์เนอร์ กับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ อาจจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะตัดสินเกมนี้

แวร์เนอร์ มีโอกาสได้สัมผัสกับความเข้มข้นในเกมลีกสูงสุดเมืองผู้ดีแล้ว เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่าเขาจะไม่สามารถยิงประตูได้ แต่ฟอร์มการเล่นถือว่ายอดเยี่ยม และยังมีส่วนสำคัญที่ทำให้ "สิงโตน้ำเงินคราม" ได้จุดโทษนำไปสู่ประตูขึ้นนำ แมตช์ถลุง ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน 3-1

หลังจบเกม สตาร์ดังทีมชาติเยอรมนี ซึ่งมีส่วนสูง 5 ฟุต 11 นิ้วหรือ 180 เซนติเมตร ยอมรับว่าไม่เคยเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบากในการสู้กับกองหลังที่ตัวใหญ่ของทัพ "นกนางนวล" ซึ่งในกรณีนี้อาจจะทำให้เขาต้องเจองานหนักอีกครั้ง เนื่องจากต้องสู้กับ ฟาน ไดค์ ที่มีส่วนสูงถึง 6 ฟุต 4 นิ้ว หรือประมาณ 193 เซนติเมตร

ฉะนั้นการที่จะเล่นลูกโด่งกับแนวรับ "หงส์แดง" อาจจะเป็นเรื่องยาก อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล ก็มีจุดอ่อนนั่นก็คือกองหลังของพวกเขามักจะดันขึ้นสูง ซึ่งทีมของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ แสดงให้เห็นมาแล้วหลายเกม ล่าสุดแมตช์เฉือน ลีดส์ ยูไนเต็ด 4-3 มักจะทิ้งพื้นที่ในแนวรับจนทำให้โดนคู่แข่งสวนกลับได้ตลอด

อย่างไรก็ตามปัญหาที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ต้องตีโจทย์ให้แตกก็คือวิธีจัดการกับ ฟาน ไดค์ ที่มีทั้งความรวดเร็ว, แข็งแกร่ง และสูงใหญ่ โดยเมื่อซีซั่นที่ผ่านมา แนวรับทีมชาติฮอลแลนด์ มีสถิติวิ่งเร็วสุด 21.4 ไมล์/ชั่วโมง (ราว 33.79 กิโลเมตร/ชั่วโมง) ซึ่งถือเป็นกองหลังที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก

ขณะที่ โจ โกเมซ คู่หูเซนเตอร์ฮาล์ฟที่คาดว่าน่าจะได้ลงเล่นเคียงข้างกับ ฟาน ไดค์ ก็มีความเร็วไม่แพ้กันโดยเขาวิ่งได้ถึง 21.5  ไมล์/ชั่วโมง (ราว 33.80 กิโลเมตร/ชั่วโมง) ส่วน แวร์เนอร์ สถิติท็อปสปีดอยู่ที่ 21.7 ไมล์/ชั่วโมง (ราว 33.802 กิโลเมตร/ชั่วโมง) กระนั้นด้วยรูปร่างที่เล็กและบางเมื่อเทียบกับกองหลังตัวใหญ่ มีความเป็นไปได้ว่าเขาจะสามารถเร่งสปีดความเร็วได้มากกว่านี้

ด้วยเหตุนี้การสู้กับ แชมป์เก่านั้น เชลซี ก็มีโอกาสที่จะเอาชนะพวกเขาได้เช่นกัน แต่สิ่งสำคัญก็คือ "สิงห์บลูส์" จะต้องใช้ประโยชน์จากนักเตะที่มีความเร็วของพวกเขาฉกฉวยความได้เปรียบบริเวณแดนกลาง จากนั้นก็พยายามส่งบอลตัดหลังแนวรับ "หงส์แดง" โดยความเร็วของ แวร์เนอร์ น่าจะเป็นหนึ่งในกุญสำคัญตัดสินชะตาของเจ้าบ้านในแมตช์นี้

พลาดลงสนาม!2แข้งใหม่เชลซียังเดี้ยงชวดเกมเปิดซีซั่น

ดิ แอธเลติก สื่อกีฬาชื่อก้อง ระบุ ในนัดเปิดฤดูกาลของ เชลซี ที่ต้องไปเยือน ไบรท์ตันฯ ในวันที่ 14 ก.ย. นี้นั้น ฮาคิม ซิเย็ค กับ เบน ชิลเวลล์ จะอดช่วยทีมทั้งคู่ หลังยังไม่หายขาดจากอาการเดี้ยงตรงหัวเข่าและส้นเท้า ตามลำดับ แต่ คริสเตียน พูลิซิช อาจจะหายทันกลับมาเล่นให้ทีมได้

ฮาคิม ซิเย็ค กับ เบน ชิลเวลล์ 2 ดาวเตะคนใหม่ของ เชลซี จะอดช่วยต้นสังกัดในเกม พรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดแรกของฤดูกาล 2020-21 ที่ทัพ "สิงโตน้ำเงินคราม" มีคิวไปเยือน ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ในวันจันทร์ที่ 14 กันยายนนี้ หลังจากทั้งคู่ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บ ตามรายงานของ ดิ แอธเลติก สื่อกีฬาชั้นนำ
 
ซิเย็ค มีอาการหัวเข่าบิดในเกมอุ่นเครื่องที่ เชลซี บุกไปเสมอกับ ไบรท์ตันฯ 1-1 เมื่อช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ขณะที่ ชิลเวลล์ มีปัญหาตรงส้นเท้ามาตั้งแต่ปลายซีซั่นก่อนกับ เลสเตอร์ ซิตี้ แล้ว ซึ่งตอนแรก เชลซี ยังหวังว่าทั้งคู่จะหายทันนัดเปิดซีซั่น

ทั้งนี้ ดิ แอธเลติก เสริมว่านอกจากเตรียมจะอดลงเล่นในวันที่ 14 ก.ย. นี้แล้วนั้น ซิเย็ค ยังต้องพักอีกหลายสัปดาห์ด้วย ส่วนรายของ ชิลเวลล์ อาจจะต้องใช้เวลาอีกราว 2 สัปดาห์กว่าที่จะพร้อมประเดิมสนามให้ทีม อย่างไรก็ตาม สื่อเจ้าดังกล่าวบอกด้วยว่า คริสเตียน พูลิซิช ปีกชาวอเมริกันที่เคยเจ็บตรงเอ็นหลังหัวเข่าในเกม เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศที่ เชลซี แพ้ อาร์เซน่อล 1-2 เมื่อช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานั้น อาจจะมีลุ้นฟิตทันช่วยทีมในนัดเปิดซีซั่น หลังจากที่เขาฟื้นตัวได้ดีสุดๆ

เชลซีคอนเฟิร์มเบอร์10คนใหม่-5นักเตะป้ายแดง

"สิงห์บลูส์" เชลซี ประกาศชื่อคนใส่เบอร์ 10 แทน วิลเลี่ยน และหมายเลขของนักเตะใหม่ทั้ง 5 รายที่จะใส่ลงเล่นในซีซั่นหน้า

เชลซี ประกาศยืนยันผ่านทางเว็บไซต์สโมสรเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน ที่ผ่านมาว่า คริสเตียน พูลิซิช ปีกชาวอเมริกัน จะเปลี่ยนจากใส่เบอร์ 22 ไปเป็นหมายเลข 10 ในฤดูกาล 2020/21 หลังจาก วิลเลี่ยน เจ้าของคนเดิมอำลาถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ไปเล่นให้กับ อาร์เซน่อล คู่ปรับร่วมกรุงลอนดอน

ส่วนนักเตะที่เพิ่งย้ายมาร่วมทัพ "สิงห์บลูส์" ในซัมเมอร์นี้อย่าง ฮาคิม ซิเย็ค จะใส่เบอร์ 22 แทน พูลิซิช ขณะที่ ติโม แวร์เนอร์ กองหน้าทีมชาติเยอรมัน จะใส่เบอร์ 11 แทน เปโดร โรดริเกซ ที่ย้ายไปอยู่กับ โรม่า ด้าน ไค ฮาแวร์ทซ์ กองกลางดาวรุ่งที่เพิ่งย้ายมาจาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น จะใส่เบอร์ 29 

ขณะที่สองกองหลังคนใหม่ เบน ชิลเวลล์ และ ติอาโก้ ซิลวา ได้เบอร์ 21 และ 6 ตามลำดับ นอกจากนั้นก็มี ฟิคาโย่ โทโมริ ที่เปลี่ยนจากเบอร์ 29 ไปใส่หมายเลข 14 แทน

ทั้งนี้ เชลซี มีโปรแกรมลงเล่น พรีเมียร์ลีก นัดเปิดฤดูกาลใหม่ ด้วยการบุกไปเยือน ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ในวันจันทร์ที่ 14 กันยายนนี้

สาหัส!แลมพาร์ดรับ4แข้งชวดฉะลิเวอร์พูล

แฟร้งค์ แลมพาร์ด กุนซือ เชลซี ก้มหน้ารับ เบน ชิลเวลล์, คริสเตียน พูลิซิช, ฮาคิม ซิเย็ค และ ติอาโก้ ซิลวา จะไม่พร้อมลงเล่นในเกมกับ ลิเวอร์พูล แต่ ติโม แวร์เนอร์ มีความฟิตที่น่าพอใจจนพร้อมช่วยทีม

แฟร้งค์ แลมพาร์ด ผู้จัดการทีม เชลซี เปิดเผยว่า เบน ชิลเวลล์, คริสเตียน พูลิซิช, ฮาคิม ซิเย็ค และ ติอาโก้ ซิลวา จะอดช่วยทีมในเกม พรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดที่ทีมของตนมีคิวเปิดรัง สแตมฟอร์ด บริดจ์ เจอกับ ลิเวอร์พูล วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายนนี้

4 คนดังกล่าวต่างก็ไม่มีชื่อในเกมแรกของฤดูกาลนี้ที่ เชลซี บุกไปชนะ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน 3-1 เมื่อวันจันทร์ที่ 14 กันยายน ที่ผ่านมาไปแล้วหลังจากที่พวกเขาโดนอาการบาดเจ็บเล่นงาน ซึ่งตอนแรกบางฝ่ายมองว่าพวกเขาอาจจะหายทันช่วยทีมในนัดสำคัญกับ ลิเวอร์พูล

แลมพาร์ด เผยว่า "เบน ชิลเวลล์ ไม่พร้อมสำหรับเกมนี้ คริสเตียน พูลิซิช ก็ไม่พร้อมเหมือนกัน เราหวังว่าพวกเขาจะซ้อมได้และมีอาการดีขึ้นในอีกไม่กี่วันต่อจากนี้ ฮาคิม ซิเย็ค เองก็ยังไม่พร้อมเหมือนกัน ส่วน ติโม แวร์เนอร์ มีความฟิตที่ดี"

พอโดนถามเพิ่มว่า ซิลวา พร้อมลงเล่นหรือไม่ แลมพาร์ด ก็ตอลบว่า "เขา (ซิลวา) ซ้อมกับเรามา 3 หรือ 4 วันแล้ว เรากำลังทำงานเรื่องสภาพความฟิตของเขาอย่างเต็มที่ แต่เกมกับ ลิเวอร์พูล ยังถือว่าเร็วเกินไปสำหรับเขา"