ลิเวอร์พูลเฮ “ติอาโก้” คืนทัพ! “ซาลาห์-มาเน่” นำตะบันเชฟยูส่งบรูว์สเตอร์ลุ้นยิงทีมเก่า

"หงส์แดง" ลิเวอร์พูล จะได้ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ที่หายเจ็บกลับมาเคลื่อนทัพแดนกลาง ขณะที่แผงแนวรุก โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ พร้อมประสานคมพักตาข่ายเกมรับ "ดาบคู่" เชฟฯ ยูไนเต็ด ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันเสาร์ที่ 24 ต.ค. ศกนี้  ถ่ายทอดสด : True Premier HD 1 (เวลา : 02.00 น.)
ปรีวิวฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563
ลิเวอร์พูล   –   เชฟฯ ยูไนเต็ด
ถ่ายทอดสด : True Premier HD 1 (เวลา : 02.00 น.)

สนาม : แอนฟิลด์

ลิเวอร์พูล :

    ลิเวอร์พูลบุกไปเสมอกับเอฟเวอร์ตัน 2-2 ในเกมลีกนัดล่าสุดก่อนที่จะเฉือนชนะ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม 1-0 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม ดี นัดแรก

    ความพร้อมของหงส์แดงในเกมนี้จะไม่มี เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ที่มีอาการบาดเจ็บบริเวณหัวเข่ารบกวนจนต้องเข้ารับการผ่าตัด ซึ่งจะทำให้กองหลังทีมชาติฮอลแลนด์ ต้องหยุดสถิติออกสตาร์ตเป็นตัวจริงในเกมลีกเอาไว้ 94 นัดติดต่อกัน นอกจากนี้ อลีสซง เบ็คเกอร์ ยังคงต้องพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บ โดยเป็นที่คาดกันว่า จอมหนึบทีมชาติบราซิล จะกลับมาเฝ้าเสาได้ก่อนสิ้นเดือนนี้

    แต่มีข่าวดีคือ ติอาโก้ อัลกันตาร่า พร้อมที่จะกลับมาช่วยทีมในเกมนี้หลังจากที่สลัดอาการบาดเจ็บจากการปะทะกับ ริชาร์ลิซอน จน ดาวยิงบราซิเลียน โดนใบแดงไล่ออกจากสนามในเกมลีกนัดก่อน

    ในแผงหลัง ฟาบินโญ่ คงจะได้รับโอกาสลงสนามในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กต่อไป โดยจะจับคู่กับ โจ โกเมซ เช่นเดิมหลัง อดีตแข้ง อาแอส โมนาโก โชว์ฟอร์มได้อย่างน่าประทับใจในเกมกับอาแจ็กซ์ถึงแม้ว่า โฌแอล มาติป พร้อมที่จะกลับมาช่วยทีมแล้วก็ตาม

    ส่วนในแดนหน้า เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน คงจะยึดผู้เล่นชุดเดิมต่อไป ซึ่งก็คือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ ทั้งที่ ฟีร์มีโน่ ถูกตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับสภาพความฟิตของเขา รวมทั้ง ดีโอโก้ โชต้า ที่ได้ลงมาเป็นตัวสำรองจะทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในเกมกลางสัปดาห์ก็ตาม

    ด้าน นาบี เกอิต้า และ คอสตาส ซิมิกาส ก็สลัดอาการบาดเจ็บเตรียมกลับเข้ามาสู่ทีมอีกครั้ง ขณะที่ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ยังคงต้องพักรักษาตัวเป็นเวลานาน

เชฟฯ ยูไนเต็ด :

    เชฟฯ ยูไนต็ด ยังคงหวานหาชัยชนะนัดแรกในฤดูกาลนี้ไม่เจอหลังไม่ชนะใครมา 6 เกมแล้วรวมทุกรายการ เกมลีกนัดล่าสุดเปิดบ้านเสมอกับฟูแล่ม 1-1

    ทีมเยือนกำลังประสบปัญหาผู้เล่นโดนอาการบาดเจ็บเล่นงานมากมาย ไม่ว่าจะเป็น แจ็ค โอคอนเนลล์ ที่โดนโรคเดี้ยงบริเวณหัวเข่าเล่นงานจนต้องเข้ารับการผ่าตัดและคงจะต้องพักรักษาตัวในช่วงที่เหลือของฤดูกาลนี้ รวมทั้ง จอห์น เฟล็ค, ลีส์ มูสเซ และ แม็กซ์ ลอว์ ที่ถูกส่งประเดิมสนามในเกมลีกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่อยู่ในสนามได้เพียง 19 นาทีเท่านั้นหลังจากที่มีปัญหาอาการบาดเจ็บและอาจจะไม่สามารถลงสนามได้ในเกมนี้

    ทำให้ คริส ไวล์เดอร์ ผู้จัดการทีม คงจะส่ง อีธาน อัมปาดู ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงอีกครั้ง โดยที่ เอ็นดา สตีเว่นส์ จะขยับจากตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กฝั่งซ้ายกลับไปยืนตำแหน่งวิงแบ็กซ้าย

    ขณะที่ในแนวรุก รีอาน บรูว์สเตอร์ จะได้ลงสนามเป็นตัวจริงเผชิญหน้ากับต้นสังกัดเก่า ซึ่งไวล์เดอร์ก็หวังว่าบรูว์สเตอร์จะงัดฟอร์มเก่งออกมาเพื่อพิสูจน์ตัวเองให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ เจ้านายเก่า รู้สึกว่า เขาคิดผิดที่ปล่อยตัวแข้งรายนี้ออกจากทีม

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

    ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อาเดรียน, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจ โกเมซ, ฟาบินโญ่, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน – ติอาโก้ อัลกันตาร่า, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, นาบี เกอิต้า – โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ซาดิโอ มาเน่
    ผู้จัดการทีม : เจอร์เก้น คล็อปป์

    เชฟฯ ยูไนเต็ด (3-5-2) : อารอน แรมส์เดล – คริส บาแชม, อีธาน อัมปาดู, จอห์น เอแกน – จอร์จ บัลด็อค, จอห์น ลุนด์สแตรม, โอลิเวอร์ นอร์วู้ด, ซานเดอร์ เบิร์ก, เอ็นดา สตีเว่นส์ – โอลิเวอร์ แม็คเบอร์นี่, รีอาน บรูว์สเตอร์
    ผู้จัดการทีม : คริส ไวล์เดอร์

    ผู้ตัดสิน : ไมค์ ดีน

คนนี้แฟนหงส์ถูกใจไหม? สื่อยันลิเวอร์พูลเดินหน้าซื้อกองหลังคนใหม่แล้ว

สื่ออังกฤษ ตีข่าว ลิเวอร์พูล เปิดฉากคุยกับทีมเมืองเบียร์แล้วเพื่อขอซื้อกองหลังมาเสริมทัพช่วงปีใหม่ หลัง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ต้องพักยาว
   
ลิเวอร์พูล แชมป์เก่า พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เดินหน้าเจรจากับ ชาลเก้ 04 สโมสรในศึก บุนเดสลีกา เยอรมัน เพื่อขอซื้อตัว โอซาน คาบัค ปราการหลังดาวรุ่งทีมชาติตุรกี มาเข้าถิ่น แอนฟิลด์ ช่วงเปิดตลาดหน้าหนาวเดือนมกราคมนี้แล้ว ตามรายงานจาก ซันเดย์ มิร์เรอร์ สื่อเมืองผู้ดี เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม ที่ผ่านมา

"หงส์แดง" กำลังมองหาเซนเตอร์แบ็กคนใหม่เข้ามาเสริมทัพ เพราะ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ปราการหลังคนเก่งต้องพักยาวจากการผ่าตัดเอ็นไขว้หน้าหัวเข่า หลังโดน จอร์แดน พิคฟอร์ด นายทวาร เอฟเวอร์ตัน เข้าสกัดหนักใส่ในเกมลีกที่เสมอกัน 2-2 เมื่อวันเสาร์ที่ 17 ต.ค. ที่ผ่านมา

ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา "หงส์แดง" เคยมีข่าวกับ คาบัค วัย 20 ปี มาแล้ว และเวลานั้น ชาลเก้ ตั้งค่าตัวไว้ที่ 40 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,600 ล้านบาท) แต่หลังจากที่ "ราชันสีน้ำเงิน" ออกสตาร์ตฤดูกาลย่ำแย่ทำให้พร้อมลดราคานักเตะลงมาเหลืออยู่ที่ราว 30 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,200 ล้านบาท)

อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล พร้อมจะจ่ายค่าตัวเบื้องต้นให้ ชาลเก้ จำนวน 20 ล้านปอนด์ (ประมาณ 800 ล้านบาท) พร้อมกับโบนัสอีกส่วนหนึ่งตามเงื่อนไขที่ทำได้ ส่งผลให้ทั้งสองสโมสรยังต้องคุยกันอีกเพื่อให้บรรลุข้อตกลงร่วมกัน

ทั้งนี้ คาบัค มีสไตล์การเล่นที่ดุดัน แข็งแกร่ง กล้าลุย รวดเร็ว และเล่นลูกกลางอากาศได้ดี รวมทั้งมี ฟาน ไดค์ เป็นไอดอลของตัวเองด้วย

เผยแมนยูวืดจอมแกร่งไลป์ซิกตอนค่าตัวสุดถูก ตอนนี้จะเอาต้องจ่ายทะลุ2.2พันล้าน!

สื่อเผย ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ กองหลังทีมชาติฝรั่งเศส เกือบได้ย้ายมาเล่นให้ แมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อ 5 ปีที่แล้ว แต่สุดท้ายต้องล่มเพราะ "ปีศาจแดง" เหนียวเงินแค่ 2 แสนปอนด์เท่านั้น
   
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ พลาดได้ตัว ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ เซนเตอร์แบ็กดาวรุ่งคนเก่งของ แอร์เบ ไลป์ซิก มาเข้าถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด อย่างน่าเสียดายเมื่อปี 2015 ตามรายงานจาก เดอะ มิร์เรอร์ สื่อเมืองผู้ดี เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม ที่ผ่านมา

ในเวลานั้น อูปาเมกาโน่ ที่อายุ 16 ปี เล่นอยู่กับ วาล็องเซียนส์ สโมสรในฝรั่งเศส และ "ปีศาจแดง" ก็เกือบจะได้ตัว หลังนักเตะ, คุณแม่ และเอเยนต์ เดินทางมาแดนผู้ดีเพื่อตกลงเรื่องย้ายทีมแล้ว

อย่างไรก็ตาม อูปาเมกาโน่ ต้องเดินทางกลับฝรั่งเศส พร้อมกับความผิดหวัง หลังจากทั้งสองสโมสรคุยกันเรื่องค่าตัวไม่ลงตัว โดย วาล็องเซียนส์ ต้องการได้ 700,000 ปอนด์ (ประมาณ 28 ล้านบาท) ขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด พร้อมให้แค่ไม่เกิน 500,000 ปอนด์ (ประมาณ 20 ล้านบาท) เท่านั้น

หลังจากนั้น อูปาเมกาโน่ ก็พัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็นกองหลังฝีเท้าเยี่ยม และได้มีโอกาสไปเล่นให้ เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก เมื่อปี 2016 ก่อนมาอยู่กับ ไลป์ซิก เมื่อปี 2017 ด้วยค่าตัว 9 ล้านปอนด์ (ประมาณ 360 ล้านบาท) โดยเวลานี้มีหลายทีมจับตามองทั้ง เรอัล มาดริด, อาร์เซน่อล, ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ยูไนเต็ด

ขณะที่ค่าตัวของกองหลังวัย 21 ปีในเวลานี้คาดว่าอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 55 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,200 ล้านบาท) หลังทำผลงานเยี่ยม และลงเล่นให้ ไลป์ซิก ไปแล้ว 118 นัด รวมทั้งติดทีมชาติฝรั่งเศส ไปแล้ว 3 เกม

ลงตัว!แกรี่เผยโซลชาอาจเลือกถูก3หนุ่ม3มุมแผงมิดฟิลด์

แกรี่ เนวิลล์ ระบุ การจับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ และ เฟร็ด เป็นตัวจริงร่วมกันอาจจะเป็นการเลือกที่ถูกต้องของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือ แมนฯ ยูไนเต็ด เพราะมันทำให้เกมรับเหนียวแน่นขึ้นจนเสียเพียง 2 ลูกใน 3 นัดหลังสุด ต่างกับ 5 เกมแรกที่เสียไปถึง 11 ประตู พร้อมชี้ว่าแท็คติกแบบนี้ก็เคยส่งผลดีกับ โซลชา มาตั้งแต่ฤดูกาลก่อน
    แกรี่ เนวิลล์ ตำนานแบ็กขวาของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรดังแห่งเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ แสดงความเห็นว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ผู้จัดการทีม "ปีศาจแดง" อาจจะทำถูกแล้วที่จัดให้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ และ เฟร็ด ลงเล่นเป็นตัวจริงร่วมกัน เพราะมันทำให้เกมรับของทีมดีขึ้น

    โซลชา โดนตั้งคำถามถึงเรื่องการจัดทีมเยอะพอตัวในช่วงที่ผ่านมา หลังจากที่ไม่ส่งทั้ง ปอล ป็อกบา กับ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค เป็นตัวจริง และเลือกใช้งาน บรูโน่ แฟร์นันด์ส, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ รวมถึง เฟร็ด เป็น 3 ประสานในแดนกลางตั้งแต่ต้นเกมในช่วง 3 นัดหลังสุด แต่มันก็ทำให้พวกเขาชนะ 2 เกมกับเสมอ 1 นัด รวมถึงเสียเพียง 2 ประตูเท่านั้น ต่างกับ 5 เกมก่อนหน้านั้นที่เสียไปถึง 11 ประตูและแพ้ 2 เกมแบบฟ้ากับเหว

    เนวิลล์ เผยว่า "ถ้าคุณลองดูเกมนัดเปิดฤดูกาลของ แมนฯ ยูไนเต็ด (แพ้ คริสตัล พาเลซ 1-3) แล้วล่ะก็ คุณก็จะเห็นว่าพวกเขาเคยให้ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ยืนคู่กับ ป็อกบา ในตำแหน่งกลางสนาม ประเด็นคือ ป็อกบา เป็นนักเตะที่สไตล์การเล่นต่างจากทั้ง เฟร็ด, แม็คโทมิเนย์ และ เนมานย่า มาติช อย่างสิ้นเชิง ซึ่งมันก็ทำให้พวกเขาโดนเล่นงานได้ง่ายตามไปด้วย"

    "ป็อกบา กับ แฟร์นันด์ส ต่างก็เป็นพวกที่เน้นเกมรุกเป็นหลัก ทั้งคู่ต่างก็คิดถึงการสร้างโอกาสทำประตูรวมถึงการยิงประตูเองมากกว่าการเล่นเกมรับ มันทำให้แนวตรงหน้าแผงหลังของ แมนฯ ยูไนเต็ด เหลือกองกลางที่ช่วยเกมรับแค่คนเดียว ซึ่งมันก็ทำให้วันนั้น พาเลซ ฉีก แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นชิ้นๆ แนวรุกของคู่แข่งไปถึงแผงแบ็กโฟร์ง่ายเกินกว่าที่ควรจะเป็นมากๆ แถมยังเกิดชอตแบบนั้นเยอะเกินไปด้วย ซึ่งเดิมที 2 เซนเตอร์แบ็กของพวกเขาก็ไม่ใช่พวกที่เก่งในเรื่องการดวลตัวต่อตัวอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ที่ไม่มีความเร็วตั้งแต่แรก"

    "หลังจากนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ก็มีเกมที่ปล่อยให้คู่แข่ง (หมายถึงเกมลีกที่ชนะ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน 3-2) ได้ยิงหลายหน ก่อนที่สุดท้ายพวกเขาจะเจอวันที่เลวร้ายในเกมกับ ท็อตแน่ม  ที่พวกเขาแพ้แบบขาดลอย 1-6"

    "คำถามคืออะไรที่มันแตกต่างออกไปหลังจากพ้นโปรแกรมเกมทีมชาติไปแล้ว ? นั่นก็คือ โอเล่ กลับไปจัดทีมตามแบบที่ช่วยให้เขาทำผลงานได้ดีเมื่อฤดูกาลก่อน ซึ่งได้แก่การทำให้เกิดกรอบสี่เหลี่ยมในด้านเกมรับอันประกอบไปด้วย วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ, แม็กไกวร์, เฟร็ด, แม็คโทมิเนย์ ทั้งหมดต่างก็เป็นนักเตะประเภทที่เน้นเกมรับเป็นหลัก พวกเขาต่างก็เข้าหาบอลได้เร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 2 กองกลาง (หมายถึง เฟร็ด กับ แม็คโทมิเนย์) ที่ยืนอยู่หน้าคู่เซนเตอร์แบ็ก"

    "ดังนั้นทุกครั้งที่ แมนฯ ยูไนเต็ด โดนคู่แข่งบุกใส่ และบอลไปถึงแผงกลางของ เชลซี แล้วน่ะ พวกเขาเหล่านั้นต่างก็พุ่งเข้าใส่นักเตะของ เชลซี อย่างรวดเร็ว การใช้แท็กติกนี้ยังช่วยทำให้ อารอน วาน-บิสซาก้า กับ ลุค ชอว์ ฟูลแบ็กทั้ง 2 ข้างของ แมนฯ ยูไนเต็ด เล่นแบบดุดันได้ด้วย โดยที่กองกลางทั้ง 2 คนก็เล่นแบบดุดันในพื้นที่ของพวกเขา พวกเขาทำงานร่วมกันได้ดี และมันก็ทำให้ ลินเดอเลิฟ กับ แม็กไกวร์ ซึ่งเป็น 2 กองหลังของ แมนฯ ยูไนเต็ด โดนเล่นงานน้อยลงเช่นกัน"

    "สำหรับผมแล้วมันแทบจะเหมือนกับว่า โอเล่ คิดว่า -ฉันต้องกลับไปสู่พื้นฐานที่ดีซะแล้ว ฉันจะเสียประตูมากมายก่ายกองต่อไปไม่ได้- แน่นอนว่าเขามีปัญหากับเรื่องการจัดทีมในกรณีของ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค กับ ป็อกบา (ที่ไม่ได้เป็นตัวจริง) แต่สัปดาห์นี้เขากลับไปสู่พื้นฐานของตัวเอง และมันทำให้คู่แข่งเล่นงานพวกเขาได้ยาก พร้อมกับส่งผลให้ทีมเสียประตูน้อยลง และโดนคู่แข่งยิงใส่น้อยกว่าเดิมตามไปด้วย"

ทอฟฟี่แตก!อันเช่เปิดใจหลังเกมเอฟเวอร์ตันโดนเซาธ์แฮมป์ตันสอย

คาร์โล อันเชลอตติ กุนซือเอฟเวอร์ตัน เปิดใจถึงผลงานของทัพ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" ในแมตช์ออกไปโดน เซาธ์แฮมป์ตันสอย เกมลีกเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พร้อมชี้จังหวะที่ ลูก้าส์ ดีญ โดนใบแดงเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมสำหรับนักเตะเลย
    คาร์โล อันเชลอตติ ผู้จัดการทีมชาวอิตาเลียนของ เอฟเวอร์ตัน ยอมรับแมตช์นี้ลูกทีมของตนทำผลงานได้น่าผิดหวัง ส่งผลให้ต้องออกไปพ่าย "นักบุญ" เซาธ์แฮมป์ตัน 0-2 ที่สนามเซนต์ แมรี่ส์ ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา

    เซาธ์แฮมป์ตันทำผลงานได้อย่างดุดันโดนได้สองประตูจาก เจมส์ วอร์ด-เพราส์  กับ เช อดัมส์ ในช่วงครึ่งแรก ขณะที่ครึ่งหลังในนาทีที่ 72 "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" ต้องมาเสียเปรียบเมื่อ ลูก้าส์ ดีญ ไปเข้าหนักใส่ ไคล์ วอล์คเกอร์-ปีเตอร์ส ผู้ตัดสินควักใบแดงไล่ออกจากสนามทันที

    สำหรับการออกไปแพ้ "นักบุญ" ในแมตช์นี้ทำให้ เอฟเวอร์ตัน พ่ายเป็นเกมแรกในลีกฤดูกาลนี้ ทำให้ตอนนี้ทีมมี 13 คะแนนเท่ากับ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล แต่ผลต่างประตูได้เสียเหนือกว่าจึงยังคงยึดตำแหน่งจ่าฝูงลีกต่อไป โดยหลังจบเกม อันเชลอตติ ยอมรับว่าผลงานของนักเตะในแมตช์นี้น่าผิดหวังมากๆ

    "มันไม่ใช่วันที่ดีและก็ไม่ใช่ฟอร์มที่ดีสำหรับเรา เราอยู่ที่นี่เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการพ่ายแพ้เกมแรก และผมรู้สึกว่าเราต้องพัฒนาต่อไปอีก แน่นอนว่าเราไม่อยากแพ้ แต่ในวงการฟุตบอลเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ เราต้องมองไปข้างหน้าจากเกมนี้ พร้อมกับยังคงมีความเชื่อมั่นอย่างที่เราเคยมี แต่เรื่องแบบนี้ มันเกิดขึ้นได้"

    ขณะเดียวกัน "คาร์เล็ตโต้" ยังได้กล่าวถึงกรณีที่ ดีญ โดนไล่ออกจากสนามว่า "ผมคิดว่ามันรุนแรงมากๆ เราจะทำการอุทธรณ์ในเรื่องนี้ มันไม่ใช่จังหวะที่เจตนาทำเลย มันไม่ใช่พฤติกรรมที่รุนแรง จริงๆ แล้วแค่ใบเหลืองก็พอแล้ว แต่นี่ไม่ใช่พฤติกรรมที่รุนแรง และใบแดงถือว่าไม่ยุติธรรม"

เลสเตอร์เช็กฟิต “วาร์ดี้”,อาร์เซน่อลส่ง “ปาร์เตย์” ตัวจริงหนุน “โอบาเมย็อง”โป้ง

"จิ้งจอกสีน้ำเงิน" เลสเตอร์ ซิตี้ ต้องลุ้น เจมี่ วาร์ดี้ ดาวยิงตัวเก่งฟิตสมบูรณ์ทันลงช่วยทีมล่าตาข่ายเกมเยือนถิ่น "ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล ที่คาดว่าจะส่ง โธมัส ปาร์เตย์ ลงตัวจริงป้อน ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ปิดสกอร์ ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันอาทิตย์ที่ 25 ต.ค. ศกนี้ ถ่ายทอดสด : True Premier HD1 (เวลา : 02.15 น.)
ปรีวิวฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2563
อาร์เซน่อล   –   เลสเตอร์ ซิตี้
ถ่ายทอดสด : True Premier HD1   (เวลา : 02.15 น.)

สนาม : เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม

อาร์เซน่อล :

    เจ้าบ้านปืนใหญ่ภายใต้การคุมทัพของ มิเกล อาร์เตต้า ผลงานนัดล่าสุดบุกชนะ ราปิด เวียนนา 2-1 ในศึกยูโรปา ลีก เมื่อกลางสัปดาห์ และในเกมลีกเมื่อสัปดาห์ก่อน แพ้ แมนฯซิตี้ 0-1

    ความพร้อมในเกมนี้ ต้องรอเช็กความฟิตของ วิลเลี่ยน และ ดานี่ เซบายอส ซึ่งมีอาการบาดเจ็บติดตัวเล็กน้อย แค่คาดว่าจะฟิตทันเกมวันนี้ และได้ออกสตาร์ตเป็นตัวจริง ส่วน

    ร็อบ โฮลดิ้ง กองหลังที่เจ็บเอ็นหลังหัวเข่า ยังไม่พร้อมสำหรับเกมนี้ ยังต้องนั่งอยู่ข้างสนามต่อไป

    คาดว่า มิเกล อาร์เตต้า จะมาในระบบ 4-3-3 นำโดย กัปตันทีม ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง, ดาวิด ลุยซ์, วิลเลี่ยน, ดานี่ เซบายอส และ โธมัส ปาร์เตย์ นักเตะใหม่มีโอกาสได้เล่นตัวจริงเป็นเกมแรกด้วย

เลสเตอร์ ซิตี้ :

    ด้านทีมเยือน เลสเตอร์ ของกุนซือ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส พาทีมแพ้ในลีกมา 2 นัดติดต่อกัน แต่นัดล่าสุดลงเล่นในศึกยูโรปา ลีก เมื่อกลางสัปดาห์เอาชนะ ซอร์ย่า ได้ 3-0

    โดยเกมนี้ทีมจะไม่มี  ริคาร์โด้ เปเรยร่า, คักลาร์ โซยุนชู, แดเนียล อามาร์ตีย์ และ วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้ บาดเจ็บอยู่ทั้งหมด แต่ในรายของ เจมี่ วาร์ดี้ ศูนย์หน้าตัวเก่งที่บาดเจ็บที่น่องและพลาดการลงสนามมา 3 นัดหลังสุด นัดนี้ต้องรอเช็กความฟิต แต่คาดว่าจะฟิตและลงช่วยทีมได้

    การจัดทัพ ทีมเยือนน่าจะมาในระบบเก่ง 4-1-4-1 โดยมี เวสลี่ย์ โฟฟาน่า กับ จอนนี่ อีแวนส์ เป็นคู่เซนเตอร์แบ็ก ด้านแบ็กขวา-ซ้ายใช้ทาง ทิโมธี กาสตานเญ่ กับทาง เจมส์ จัสติน แดนกลางมี น็อมปาลิส เมนดี้ เป็นตัวตัดเกม ด้านตัวทำเกมสองคน เป็น ยูริ ตีเลอมันส์ กับทาง เจมส์ แมดดิสัน ส่วนฝั่งริมเส้นขวาซ้าย ใช้งาน อาโยเซ่ เปเรซ กับทาง ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ และ กองหน้าตัวเป้า เป็น เจมี่ วาร์ดี้ ที่กลับมาลงเล่นให้กับทีมได้

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

    อาร์เซน่อล (4-3-3) : แบรนด์ เลโน่ – เอ็คตอร์ เบเยริน, ดาวิด ลุยซ์, กาเบรียล มากัลเญส, คีแรน เทียร์นี่ย์ – ดานี่ เซบายอส, โธมัส ปาร์เตย์, กรานิต ชาคา – นิโกล่าส์ เปเป้, วิลเลี่ยน, ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง
    ผู้จัดการทีม : มิเกล อาร์เตต้า

    เลสเตอร์ ซิตี้ (4-1-4-1) : แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล – ทิโมธี กาสตานเญ่, เวสลี่ย์ โฟฟาน่า, จอนนี่ อีแวนส์, เจมส์ จัสติน – น็อมปาลิส เมนดี้ – อาโยเซ่ เปเรซ, ยูริ ตีเลอมันส์, เจมส์ แมดดิสัน, ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ – เจมี่ วาร์ดี้ (เคเลชี่ อิเฮียนาโช่)
    ผู้จัดการทีม : เบรนแดน ร็อดเจอร์ส

    ผู้ตัดสิน : เคร็ก เพาสัน

คาวานี่ประเดิม! แมนยูเจาะไม่เข้าแค่เจ๊าเชลซีไร้สกอร์-เมนดี้โชว์หนึบ

"ปีศาจแดง" ยังต้องหาชัยชนะในบ้านเกมลีกซีซั่นนี้ต่อไป หลังทำได้แค่เสมอกับ เชลซี แบบไร้สกอร์ 0-0 ในเกมบิ๊กแมตช์ เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยเกมนี้ เอดินสัน คาวานี่ ลงมาเป็นสำรองประเดิมเกมแรกให้ แมนฯยูไนเต็ด ด้าน "สิงห์บลูส์" เกมนี้ได้ เอดูอาร์ เมนดี้ ช่วยเซฟทำให้บุกมาแบ่งแต้ม ทำสถิติเสมอ 3เกมติดทุกรายการ

สนาม : โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

    "บิ๊กแมตช์" พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา แมนเชสเตอร์ ยุไนเต็ด กลับมาเปิด โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด รับมือ เชลซี โดย "ปีศาจแดง" เกมล่าสุดในลีกบุกไปถลุง นิวคาสเซิ่ล 4-1 ก่อนที่กลางสัปดาห์ศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกจะบุกไปอัด เปแอสเช 2-1 ขณะที่ฝั่ง "สิงห์บลูส์" เสมอมา 2เกมติดๆในสแตมฟอร์ด บริจด์  ทั้งในลีกที่แบ่งแต้มกับ "นักบุญ" 3-3 ก่อนจะเสมอในรังกับ เซบีย่า แบบไร้สกอร์ 0-0

    โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ใช้ 11 แข้งตัวจริงชุดเดียวกับที่บุกไปถล่ม "สาลิกาดง" ฆวน มาต้า ปั้นเกมร่วมกับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส และแดเนียล เจมส์ โดยให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด ยืนหน้าเป้า ส่วน เอดินสัน คาวานี่ มีชื่อบนม้านั่งสำรอง ด้าน แฟร้งค์ แลมพาร์ดวันนี้จัดสามแนวรุกเป็น  ไค ฮาแวร์ทซ์, คริสเตียน พูลิซิช และ ติโม แวร์เนอร์

    ช่วง 15 นาทีแรก ทั้งสองทีมเล่นกันอย่างระมัดระวังจนไม่มีโอกาส หรือจังหวะเน้นๆให้ได้ลุ้น แต่กลายเป็น "สิงห์บลูส์" ที่กดดันและเข้าไปในพื้นที่อันตรายได้มากกว่า

    นาที 18 โอกาสยิงครั้งแรกของเกม ทว่า คริสเตียน พูลิซิช กดด้วยขวานอกกรอบไปติดบล็อคของแข้งเจ้าถิ่น

    ยังคงเป็นลูกทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ที่ครองบอลได้เหนือกว่า (33-67%) นาที 26 "สิงห์บลูส์" พลาดโอกาสลุ้นหลัง เบน ชิลเวลล์ ตักบอลให้ ไค ฮาแวร์ทซ์ หลุดกับดักล้ำหน้าแทงทะลุช่องให้ ติโม แวร์เนอร์ หลุดเข้าไปทว่าเจ้าตัวกลับเจ้าบอลไม่อยู่บอลหลุดหลังน่าเสียดาย

    อีกนาทีถัดมา ชิลเวลล์ เรียกฟรีคิกทางด้านซ้ายได้ ก่อนเจ้าตัวจะลุกมาเปิดเอง แต่บอลลึกไปเข้ามือ เด เคอา

    นาที 29 เอดูอาร์ เมนดี้ เกือบได้ทำพลาดหลังเจ้าตัวพยายามจ่ายบอลขวางหน้าประตูตัวเอง ทว่าออกบอลไม่ดีเกือบเลี้ยวเข้าประตูตัวเองก่อนออกหลังเป็นเตะมุม

    เกมรุกของ "ผีแดง" เริ่มดีขึ้น นาที 31 จังหวะส่องเข้ากรอบหนแรกของเจ้าถิ่น และครั้งแรกของเกม  แดเนียล เจมส์ ไหลให้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ตะบันนอกกรอบบอลไปเข้ามือ เมนดี้

    แต่ "สิงห์บลูส์" สวนกลับทันควัน อีกนาทีต่อมา คริสเตียน พูลิซิช ตะลุยพาบอลเข้าไปกดด้วยขวาแต่บอลไปแฉลบ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ออกหลัง

    นาที 36 แมนฯยูไนเต็ด พลาดโอกาสทองขึ้นนำ หลัง บรูโน่ แฟร์นันด์ส ตัดบอลได้ก่อนให้ มาต้า แทงบอลเร็วให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด หลุดเข้าไปกดด้วยขวาเน้นๆแต่บอลยังไปติดขา เอดูอาร์ เมนดี้

    กลายเป็น "ผีแดง" ที่เริ่มกดดันหนักขึ้นเรื่อยๆ นาที 41 หวิดได้ประตูอีกครั้ง คราวนี้ แรชฟอร์ด จ่ายให้ ฆวน มาต้า กดด้วยซ้ายนอกกรอบบอลพุ่งไปเสาไกลแต่ยังไม่พ้น เอดูอาร์ เมนดี้ ที่โชว์บินปัดออกหลังหวุดหวิด

    นาที 43 แรชฟอร์ด มีอาการบาดเจ็บ หลังโดน เอ็นโกโล่ ก็องเต้ เตะในกรอบเขตโทษ ทว่าผู้ตัดสินหลังเช็กสัญญาณจาก VAR ไม่ว่าอะไรให้เล่นต่อไป

    จบครึ่งแรก แมนฯยูไนเต็ด ยังเสมอกับ เชลซี 0-0

    ครึ่งหลัง นาที 58 โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เปลี่ยนรวดเดียวสองคน ส่ง เอดินสัน คาวานี่ และปอล ป็อกบา ลงไปเล่นแทน ฆวน มาต้า และแดเนียล เจมส์

    และแค่สัมพัสแรกของ คาวานี่ ในนาทีถัดมาเกือบพาทีมขึ้นนำ จากชอตต่อเนื่องจากลูกเตะมุม บรูโน่ แฟร์นันด์ส ครอสมาเสาแรกให้ คาวานี่ โฉบมาสะกิดบอลด้วยขวาพุ่งถากเสาออกไปแบบได้เสียว

    นาที 72 "สิงห์บลูส์" แก้เกมบ้าง ส่ง เมสัน เมาน์ท และแทมมี่ อบราฮัม ลงมาเล่นแทน ไค ฮาแวร์ทซ์ และติโม แวร์เนอร์

    ท้ายเกม นาที 80 "ผีแดง" ได้ลุ้นจากจังหวะยิงของ ปอล ป็อกบา แต่ห้องเครื่องทีมชาติฝรั่งเศสดันยิงไปติดบล็อคอย่างน่าเสียดาย

    นาที 88 เจ้าบ้าน เกือบได้ลุ้นอีก หลัง เมสัน กรีนวู้ด ที่ลงมาสำรองปาดมาเสาแรกให้ เอดินสัน คาวานี่ ยิงไปติดบล็อคแนวรับสิงห์บลูส์

    ช่วงทดเจ็บ นาที 90+1 ปีศาจแดง พลาดโอกาสขึ้นนำอีกหลัง แรชฟอร์ด ปั่นบอลจากนอกกรอบกำลังจะเสียบเสาไกลอยู่แล้วแต่ เอดูอาร์ เมนดี้ ยังโชว์เหนียวพุ่งปัดออกไป

    จบเกม กินกันไม่ลง แมนฯยูไนเต็ด ทำได้แค่เสมอกับ เชลซี แบบไร้สกอร์ 0-0 ทำให้ "ผีแดง" ยังไม่ชนะคู่แข่งในบ้านซีซั่นนี้ต่อไป ขณะที่ "สิงห์บลูส์" เสมอมา 3 เกมติดทุกรายการ

      รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม

        แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (4-2-3-1) : ดาบิด เด เคอา – อารอน วาน-บิสซาก้า , วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ, แฮร์รี่ แม็กไกวร์, ลุค ชอว์ – เฟร็ด, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ (เมสัน กรีนวู้ด น.83) – ฆวน มาต้า (ปอล ป็อกบา น.58), บรูโน่ แฟร์นันด์ส, แดเนียล เจมส์ (เอดินสัน คาวานี่ น.58) – มาร์คัส แรชฟอร์ด

       ผู้จัดการทีม : โอเล่ กุนนาร์ โซลชา

        เชลซี (3-4-2-1) : เอดูอาร์ เมนดี้ – เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, ติอาโก้ ซิลวา, คูร์ท ซูม่า – รีซ เจมส์, จอร์จินโญ่, เอ็นโกโล่ ก็องเต้, เบน ชิลเวลล์ –  ไค ฮาแวร์ทซ์ (เมัน เมาน์ท น.72), คริสเตียน พูลิซิช (ฮาคิม ซิเย็ค น.81) – ติโม แวร์เนอร์ (แทมมี่ อบราฮัม น.72)

        ผู้จัดการทีม : แฟร้งค์ แลมพาร์ด

        ผู้ตัดสิน : มาร์ติน แอตกินสัน

แมนซิตี้รุกเต็มสูบ! “อเกวโร่-สเตอร์ลิง” ผนึกยิงถิ่นเวสต์แฮมที่ฟอร์มกำลังแจ่ม

"เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เตรียมจัดทัพเต็มอัตราศึกโดยมี เซร์คิโอ อเกวโร่ "กุน" กับ ราฮีม สเตอร์ลิง สองดาวยิงตัวเก่งลงผนึกปิดสกอร์เกมบุกถิ่น "ขุนค้อน" เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ที่ผลงานกำลังดีวันดีคืนไม่แพ้มา 2 นัดติดแล้ว ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันเสาร์ที่ 24 ต.ค. ศกนี้  ถ่ายทอดสด : True Premier HD 1 (เวลา : 18.30 น.)
ปรีวิวฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563
เวสต์แฮม ยูไนเต็ด   –   แมนฯ ซิตี้
ถ่ายทอดสด : True Premier HD 1 (เวลา : 18.30 น.)

สนาม : ลอนดอน สเตเดี้ยม

 
เวสต์แฮม ยูไนเต็ด :

    เดวิด มอยส์ กุนซือเวสต์แฮม พาทีมเสมอสเปอร์ส แบบเหลือเชื่อ 3-3 ทั้งที่โดนนำไปก่อนถึง 3-0 ทำให้ไม่แพ้มา 2 เกมแล้ว

    ความพร้อมเกมนี้ "น้ามอยส์" ต้องรอทดสอบความฟิตของ มิคาอิล อันโตนิโอ ที่เจ็บเอ็นหลังหัวเข่า และ เซบาสเตียง อาลแลร์ ที่สภาพร่างกายไม่สมบูรณ์

     นอกจากนั้นไม่มีปัญหาอะไรรบกวนเพิ่มเติม คาดว่าน่าจะยึดทีมจากเกมล่าสุดเป็นหลักต่อไป เพราะทำผลงานกันได้ดีแล้วนั่นเอง

    นำโดยแกนหลักขาประจำอย่าง ฟาเบียน บัลบูเอน่า, อันเจโล่ อ็อกบอนน่า, โทมัส ซูเช็ค, เดแคลน ไรซ์ และ ปาโบล ฟอร์นัลส์

แมนฯ ซิตี้ :

    เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือ แมนฯ ซิตี้ พาทีมชนะอาร์เซน่อล 1-0 ในเกมลีกล่าสุด ก่อนถล่มปอร์โต้ 3-1 ในเกมชปล. เมื่อกลางสัปดาห์ ทำให้ไม่แพ้มา 4 เกมแล้ว

    ความพร้อมเกมนี้ "เป๊ป" จะไม่มีทั้ง แฟร์นันดินโญ่ ที่เจ็บเพิ่มเป็นรายล่าสุด รวมไปถึง เควิน เดอ บรอยน์, เบนฌาแม็ง เมนดี้, เอมเมอริค ลาป๊อร์กต์ และ กาเบรียล เชซุส ที่เดี้ยงอยู่ก่อนแล้ว

    ส่วน นาธาน อาเก้ ที่เจ็บโคนขาหนีบ ต้องรอทดสอบความฟิต ขณะที่แกนหลักรายอื่นๆ อย่าง รูเบน ดิอาซ, โรดรี้ เอร์นานเดซ, แบร์นาร์โด้ ซิลวา, เซร์คิโอ อเกวโร่ "กุน" และ ราฮีม สเตอร์ลิง ยังพร้อมบู๊เหมือนเดิม

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

    เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (5-4-1) : ลูคัส ฟาเบียนสกี้ – วลาดิเมียร์ คูฟาล, ฟาเบียน บัลบูเอน่า, อันเจโล่ อ็อกบอนน่า, อารอน เครสส์เวลล์, อาร์กตูร์ มาซูอากู – จาร์ร็อด โบเว่น, โทมัส ซูเช็ค, เดแคลน ไรซ์, ปาโบล ฟอร์นัลส์ – มิคาอิล อันโตนิโอ
    ผู้จัดการทีม : เดวิด มอยส์

    แมนฯ ซิตี้ (4-3-3) : เอแดร์ซอน โมราเอส – ไคล์ วอล์คเกอร์, รูเบน ดิอาซ, เอริค การ์เซีย, ชูเอา กานเซโล่ – แบร์นาร์โด้ ซิลวา, โรดรี้ เอร์นานเดซ, อิลคาย กุนโดกัน – ริยาด มาห์เรซ, เซร์คิโอ อเกวโร่ "กุน", ราฮีม สเตอร์ลิง
    ผู้จัดการทีม : เป๊ป กวาร์ดิโอล่า  
 
    ผู้ตัดสิน : แอนโธนี่ เทย์เลอร์

เจ็บเยอะ,ลุ้นแนวรุกเด็ด ! วิเคราะห์ 5 ข้อ ลิเวอร์พูล รับมือ มิดทิลแลนด์

ลิเวอร์พูล ยังคงต้องเจอกับปัญหาเรื่องอาการบาดเจ็บของนักเตะหลายคนทำให้แผนการโรเตชั่นของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ต้องเจอกับความยากลำบากพอสมควร สำหรับแมตช์รับมือ มิดทิลแลนด์ ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม ดี ในวันอังคารที่ 27 ตุลาคมนี้
    "หงส์แดง" หมดสิทธิ์ใช้ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ในฐานะหัวใจเกมรับ ทำให้ทีมยังต้องพึ่งพา ฟาบินโญ่ ในตำแหน่งนี้ ขณะที่แผงกองกลางก็ไม่มี ติอาโก้ อัลกันตาร่า กับ นาบี เกอิต้า ที่ยังมีปัญหาบาดเจ็บ เช่นเดียวกับ โฌแอล มาติป ที่จะต้องพลาดแมตช์นี้เช่นกัน

    อย่างไรก็ตามการที่ "เดอะ เร้ดส์" ได้ อลีสซง เบ็คเกอร์ คอยทำหน้าที่เฝ้าเสา อย่างน้อยๆ ก็รู้สึกอุ่นใจ ในส่วนของแนวรุกงานนี้ คล็อปป์ อาจจะใช้ออปชั่นพิเศษในการเลือก ทาคูมิ มินามิโนะ ลงเล่นตัวจริงหลังจากนักเตะทำผลงานได้ดีแม้จะเป็นแค่ตัวสำรองในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม

1. ปัญหาบาดเจ็บส่งผลระบบโรเตชั่นรวน

    ลิเวอร์พูล ยังคงต้องเจอกับวิบากกรรมเรื่องปัญหานักเตะบาดเจ็บหลายคน นั่นหมายความว่าไม่ใช่งานง่ายสำหรับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ในการที่จะใช้ระบบโรเตชั่นสำหรับแมตช์รับการมาเยือนของ มิดทิลแลนด์ แชมป์ลีกจากประเทศเดนมาร์ก

    แน่นอนว่า "หงส์แดง" จะไม่มี เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ที่ต้องผ่าตัดเอ็นไขว้หัวเข่า และมีแนวจะต้องพักนานหลายเดือน ขณะที่ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายบาดเจ็บกลับมาช่วยทีมได้ นอกจากนี้ในเกมรับพวกเขายังไม่มี โฌแอล มาติป เช่นเดียวกันแผงกองกลางที่ขาด ติอาโก้ อัลกันตาร่า และ นาบี เกอิต้า ซึ่งทั้งหมดนี้มีปัญหาบาดเจ็บ ไม่ได้ลงเล่นในเกมลีกสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และยังไม่พร้อมที่จะช่วยทีมในแมตช์ถ้วยใบโตยุโรป

    ในรายของ ติอาโก้ ซึ่งคาดว่านักเตะจะฟิตร่างกายกลับมาช่วยทีมได้ในเกมปะทะ "ขุนค้อน" เวสต์แฮม ยูไนเต็ด จำเป็นต้องให้พักร่างกายเพื่อเป็นการป้องกันเอาไว้ก่อน หลังจากที่เจ้าตัวได้รับบาดเจ็บจากการเข้าเสียบอย่างรุนแรงของ ริชาร์ลิสัน ในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ เสมอ เอฟเวอร์ตัน

    ส่วนการขาดหายไปของ มาติป แน่นอนว่า นายใหญ่เลือดด๊อยท์ช จำเป็นต้องใช้ ฟาบินโญ่ ยืนเป็นคู่หูเซนเตอร์แบ็กกับ โจ โกเมซ ต่อไปอีกแมตช์ ซึ่งจะว่าไปแล้วทั้งสองคนก็ทำผลงานได้เข้าขากัน และมีการพัฒนาในเรื่องเกมรับที่ดีวันดีคืน

    สำหรับแบ็กขวา เนโก วิลเลี่ยมส์ ยังเป็นตัวเลือกที่ กุนซือชาวเยอรมัน อาจจะใช้งานหากต้องการพัก เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ด้านแบ็กซ้าย คอสตาส ซิมิคาส ยังมีปัญหาบาดเจ็บ ทำให้ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ยังคงต้องลงเล่นตัวจริงต่อไป
 
2. แผงกองกลางขาดเยอะ แนวรุกหน้าอาจเปลี่ยนโฉม

    สำหรับแผงมิดฟิลด์ในเวลานี้ตัวเลือกสำคัญอย่าง ติอาโก้ และ เกอิต้า ยังมีปัญหาบาดเจ็บ และจำเป็นต้องพักฟื้นร่างกายอีกหลายวัน ขณะที่ ฟาบินโญ่ จำเป็นต้องขยับลงไปเล่นเป็นเซนเตอร์แบ็ก นั่นหมายความว่า คล็อปป์ มีทางเลือกไม่มากนักในการจัดแดนกลางแมตช์นี้

    ขณะเดียวกันดูเหมือนว่า คล็อปป์ ต้องการที่จะพักร่างกายของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ซึ่งกรำศึกหนักมาหลายแมตช์ ด้วยเหตุนี้ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าแผงกองกลางจะได้เห็น เจมส์ มิลเนอร์ ทำหน้าที่ร่วมกับ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม โดยมี เคอร์ติส โจนส์ มิดฟิลด์ดาวรุ่งพุ่งแรง เป็นตัวเลือกหากเกิดกรณีฉุกเฉิน

    ส่วนอีกรายที่น่าจะได้ลงสนามนั่นก็คือ เซอร์ดาน ชากีรี่ ที่จะได้ทำงานร่วมกับ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ดีโอโก้ โชต้า โดยมี ทาคูมิ มินามิโนะ เป็นออปชั่นเสริม ขณะที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยังคงเป็นตัวหลักในการไร้ล่าตาข่ายคู่แข่ง ด้าน ซาดิโอ มาเน่ คงจะได้พักในแมตช์นี้

    อย่างไรก็ตาม คล็อปป์ อาจจะปรับหมากด้วยการเลือกพัก เทรนต์ อเล็กซ์เดอร์-อาร์โนลด์ และส่ง เนโก วิลเลี่ยมส์ ลงไปยืนประจำการแบ็กขวา ส่วนแผงกองกลางอาจจะยังคงใช้งาน เฮนเดอร์สัน กับ ไวจ์นัลดุม เพื่อหวังที่จะจัดการ มิดทิลแลนด์ ให้เด็ด

    ในส่วนของเกมรุกต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่สาวก "เดอะ ค็อป" หลายคนคาดหวังเอาไว้นั่นก็คือการได้เห็น มินามิโนะ ลงเล่นตัวจริงแทน ฟีร์มีโน่ โดยมี โชต้า กับ มาเน่ คอยยืนเคียงข้างขวาและซ้าย ส่วน "บังโม" ยังคงได้รับความไว้วางใจให้ยืนเป็นหน้าเป้าเหมือนเดิม

3. มิดทิลแลนด์ ไม่ได้แกร่งแต่ไม่หมูนะครับ

    แม้ว่า มิดทิลแลนด์ จะไม่ใช่สโมสรฟุตบอลที่หลายๆ คนรู้จักมากนัก แต่พวกเขาก็ถือเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จพอสมควร โดยทีมชุดนี้ได้กุนซือสมองเพชรอย่าง ไบรอัน พริสเก้ ทำหน้าที่วางหมาก และผงาดคว้าแชมป์ศึก เดนิช ซูเปอร์ลีก้า เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา

    รวมไปถึงการคว้าแชมป์ลีกในซีซั่น 2014/2015 และ 2017/2018 นอกจากนี้พวกเขายังได้แชมป์ เดนิช คัพ เป็นสมัยแรกเมื่อฤดูกาล 2018–19 ผลงานของทีมชุดนี้ก็คล้ายๆ กับ ลิเวอร์พูล เพราะ มิดทิลแลนด์ เก็บได้ 13 คะแนนจากการแข่ง 6 แมตช์แรกในซีซั่นปัจจุบัน รั้งอันดับ 2 ในตารางลีกตามหลัง  ซอนเดอร์ไจสกี้ จ่าฝูง ด้วยผลต่างประตูได้เสียเท่านั้น

    แม้ว่าทีมของกุนซือไบรอัน พริสเก้ ลงเล่นเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก แมตช์แรกด้วยการแพ้ อตาลันต้า 0-4 คาบ้านก็ตาม แต่งานนี้มีหลายเสียงเห็นพ้องต้องการว่ารูปเกมของเจ้าบ้านไม่ควรแพ้สกอร์เยอะขนาดนี้ เนื่องจาก มิดทิลแลนด์ เล่นได้ดีเยี่ยมแต่ขาดแค่ความเฉียบคมเท่านั้น

    ที่สำคัญแมตช์นี้จะเป็นครั้งแรกที่ มิดทิลแลนด์ จะได้พบกับ ลิเวอร์พูล ฉะนั้นสิ่งนี้อาจจะเป็นแรงกระตุ้นที่ดีเยี่ยมที่ทำให้ผู้มาเยือนจากแดนโคนมมีพลังแฝงในการสู้กับแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลล่าสุด เพราะการชนะ "เดอะ เร้ดส์" ในแอนฟิลด์ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สำหรับทีมเล็กๆ และคงจะถูกจดจำในหน้าประวัติศาสตร์ลูกหนังเลยทีเดียว

4. แอนฟิลด์ ดินแดนสยองสำหรับทีมเยือน

    ในเกมลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ต้องยอมรับว่าสนามแอนฟิลด์ เป็นสถานที่ที่ทีมเยือนต้องขาสั่น เพราะพวกเขาไม่แพ้ในบ้านเฉพาะเกมพรีเมียร์ลีกนานถึง 62 แมตช์เข้าไปแล้ว อย่างไรก็ตามในแมตช์ฟุตบอลถ้วยยุโรป เมกกะลูกหนังแห่งนี้ก็ยังคงมีมนต์ขลังเช่นกัน

    "เดอะ เร้ดส์" ไม่เคยแพ้ 2 นัดติดต่อกันกับการเล่น  90 นาทีในแอนฟิลด์ตลอด 45 แมตช์ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก ซึ่งแน่นอนว่าสถิตินี้เป็นสิ่งที่น่าเกรงขามสำหรับทีมเยือนในการที่จะต้องดวลกับแชมป์ถ้วย "บิ๊กเอียร์" 6 สมัย

    สำหรับ ลิเวอร์พูล พวกเขาไม่แพ้ใครในบ้านสองนัดติดต่อกันนับตั้งแต่ฤดูกาล 2009/2010 โดยในครั้งนั้น ยอดทีมแห่งถิ่นแอนฟิลด์ โดนลูบคมด้วยฝีเกือกของ "โอแอล" โอลิมปิก ลียง และ "ม่วงมหากาฬ" ฟิออเรนติน่า ซึ่งสกอร์เท่ากันนั่นก็คือ 2-1

    ส่วนความพ่ายแพ้คาแอนฟิลด์ แมตช์ล่าสุดในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายเมื่อซีซั่นที่ผ่านมา เป็นเกมรับมือ "ตราหมี" แอตเลติโก มาดริด อย่างไรก็ตามชัยชนะ 3-2 ที่ทีมของกุนซือ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ทำได้ เกิดขึ้นจากการต้องลงเล่นในช่วงต่อเวลาพิเศษ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

5. ส่อง 2 ระบบที่ คล็อปป์ จะนำมาใช้ในแมตช์รับมือ มิดทิลแลนด์

แผน 1

ผู้รักษาประตู : อลีสซง เบ็คเกอร์

กองหลัง : เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ฟาบินโญ่, โจ โกเมซ, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน

กองกลาง : จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม, เจมส์ มิลเนอร์

แนวรุก : เซอร์ดาน ชากีรี่, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ดีโอโก้ โชต้า

หน้าเป้า : โมฮาเหม็ด ซาลาห์

 แผน 2

ผู้รักษาประตู : อลีสซง เบ็คเกอร์

กองหลัง : เนโก้ วิลเลี่ยมส์, ฟาบินโญ่, โจ โกเมซ, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน

กองกลาง : จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน

แนวรุก : ดีโอโก้ โชต้า, ทาคูมิ มินามิโนะ, ซาดิโอ มาเน่

หน้าเป้า : โมฮาเหม็ด ซาลาห์

มาต้าเปิดใจเข้าขากับใครมากที่สุดในแมนยู

ฆวน มาต้า มิดฟิลด์จอมเก๋าของ แมนฯ ยูไนเต็ด ระบุ ในขุมกำลังชุดปัจจุบันนั้นตนเข้าขากับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส สุดๆ พร้อมบอกว่าสนุกมากๆ ที่ได้เล่นร่วมกับแข้งชาวโปรตุกีส
    ฆวน มาต้า กองกลางประสบการณ์สูงของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรดังของศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เปิดเผยว่าตนเข้าขากับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส มิดฟิลด์เพื่อนร่วมทีมมากๆ

    ฤดูกาลนี้ มาต้า สามารถทำผลงานกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้โดดเด่นกว่าหลายซีซั่นที่ผ่านมา โดยเขาทำได้ 2 ประตูกับ 2 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 3 นัดในทุกรายการ ซึ่งมันก็ทำให้เขาได้รับคำชมจากหลายฝ่ายพอตัวจนถึงขั้นที่บางคนมองว่าเขาควรจะได้เป็นตัวจริงบ่อยกว่าซีซั่นก่อนๆ ด้วย

    ดาวเตะชาวสแปนิชเผยว่า "ผมสนุกมากๆ เวลาที่ได้เล่นกับนักเตะแบบเขา ผมคิดว่าเราเข้าใจถึงการเล่นฟุตบอลในทางเดียวกัน เราต่างก็ชอบเล่นในจุดที่มีพื้นที่ว่างเยอะๆ พร้อมกับเล่นและเคลื่อนที่เพื่อสร้างโอกาสการทำประตูให้กับกองหน้าของเรา เราเข้าขากันได้ดีมากๆ ตอนอยู่ในสนาม"

    "แค่มองตากันแว่บเดียวเราก็รู้แล้วว่าเราอยากให้บอลมันไปอยู่ในจุดไหน รวมถึงรู้ว่าเราควรจะต้องเคลื่อนที่กันยังไง แน่นอน มันไม่ใช่ว่ามันจะไปได้สวยซะทุกครั้ง แต่เราก็พยายามเล่นร่วมกัน เพราะเราเข้าใจกันและกันได้ดีมากๆ"